1. คนเหล่านี้เป็นคนที่ เอาความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้ง
มองคนที่คิดต่างจากเขาเป็นคนโง่ไปเสียทั้งหมด และมักจะให้ราคากับคนสอพลอ
ที่เออออกับเขาโดยไม่ได้คิดไม่ได้ไตร่ตรองอะไรเลย ทำให้เขาหลงลำพองยึดมั่นถือมั่นกับชุดความคิดบิดเบี้ยว
โดยที่ไม่เฉลียวใจว่าตนเองต่างหากที่เป็นคนที่เข้าใจผิดๆ มาโดยตลอด การมั่นใจในสิ่งผิดๆ เป็นระยะเวลาอันยาวนาน
ท่ามกลางเสียงเชียร์ของคนเมา มันก็ทำให้หลงตัวเองเผลอทะนงคิดว่าตนเองเป็นคนฉลาด ได้อยู่เหมือนกันนะครับ
2. คนเหล่านี้เป็นคนที่ไม่ยอมเปิดรับมุมมองอะไรใหม่ๆ
ไม่ชอบเรียนรู้อะไรด้วยตนเองยึดมั่นถือมั่นกับชุดความรู้ที่เคยเรียนมาเมื่อนานมาแล้วยึดติดกับวิธีการเดิมๆ
ที่เคยทำให้ตนเองประสบความสำเร็จในอดีต คือ ชุดความรู้เดิมๆ มันไม่ใช่ว่าผิดหรอกนะครับ
มันอาจจะถูก แต่มันถูกในอดีตแต่มันไม่ถูกอีกต่อไปแล้วในปัจจุบันและมันอาจจะยิ่งผิดมากขึ้นไปเรื่อยๆ
สำหรับอนาคตถ้าเราเป็นคนที่ยึดติดกับความรู้เดิมๆ ความสำเร็จเก่าๆ แบบลืมหูลืมตา จนตามโลกใบนี้ไม่ทัน
เวลาที่เราฟังแนวคิดอะไรใหม่ๆ ที่เราไม่เข้าใจ เราก็อาจด่วนพิพากษาว่าคนที่พูดเสนอแนวคิดใหม่ๆ นั้นเป็นคนโง่
เขากำลังพูดเรื่องโง่ๆ อยู่ก็ได้ ทั้งที่จริงๆ แล้ว สิ่งที่เขากำลังพูดอยู่มันเป็นความรู้ที่ทันสมัยกว่าสิ่งที่เรารู้
เพียงแต่เราไม่มีสติปัญญาที่มากพอที่จะฟังสิ่งที่เขาพูดได้เข้าใจ ก็เท่านั้นเอง
3. คนเหล่านี้เป็นคนที่มีเงิน เข้าถึงทรัพยากร และมีเครือข่ายอุปถัมภ์ที่มากกว่าคนอื่นๆ
สิ่งเหล่านี้อาจจะทำให้เขาประสบความสำเร็จขึ้นมาทั้งๆ ที่เขาไม่ได้มีความรู้ หรือความสามารถอะไรมากนัก
จริงๆ แล้วถ้าเขามีความรู้และความสามารถมากสักหน่อยความสำเร็จที่เกิดขึ้นมันอาจจะมากกว่าความสำเร็จที่เขามีอยู่ในมือตอนนี้ก็ได้
ความได้เปรียบทางสังคมของเขานี่เอง เป็นปัจจัยที่ทำให้เขาหลงตัวเอง
คิดว่าตัวเองเป็นคนฉลาดเหนือใครไงล่ะครับการคิดเสียว่าคนที่ชอบดูถูกคนอื่น
เป็นพวกที่ไร้สติปัญญา ไม่มีสมอง มันก็พอที่จะปลอบใจตัวเองได้บ้างครับ
แต่ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่เป็นรูปธรรมเลยกับการที่พอเราถูกเขาดูถูกมา
ถูกเขาหัวเราะเยาะมา เราก็แอบด่าเขากลับเพื่อให้ตัวเองสบายใจไปวันๆ โอเค
มันทำให้เราสบายใจขึ้น แต่ว่ามันทำให้ชีวิตเราดีขึ้นรึเปล่า ก็เปล่าใช่ไหมครับ ผมว่าบางทีคนที่มีความสามารถ
และสติปัญญาที่ดีกว่า ก็สมควรนะครับที่จะถูกคนที่ด้อยกว่าดูถูกหรือหัวเราะเยาะ
4. คนที่ฉลาด และเก่งจริงๆ จะไปใส่ใจกับคำค่อนขอด คำดูถูก หรือเสียงหัวเราะเยาะของคนที่ด้อยสติปัญญาทำไมกันครับ
ถ้าคุณแคร์พฤติกรรมแย่ๆ ของคนเหล่านี้ นั่นไม่เท่ากับว่าคุณยอมรับว่าตัวเองเป็นคนห่วยอย่างที่เขา
ดูถูกกันหรอกหรือครับคนที่มีความสามารถที่แท้จริง ต้องพิจารณาได้ครับว่าอะไรเป็นความคิดต่างที่มีคุณค่า
และเราควรจะต้องฉุกคิดรับฟังอะไรเป็นคำค่อนขอดที่เราไม่ควรไปให้ราคา
อะไรเป็นความคิดเห็นสนับสนุนที่เราสามารถนำไปขยายผลในสิ่งที่เราทำให้มันยิ่งใหญ่ขึ้นได้
และอะไรเป็นแค่การประจบสอพลอที่เปล่าประโยชน์ ที่เราควรจะลืมให้เร็วที่สุด
ถ้าคุณปล่อยให้คุณค่าของตัวคุณเองลดลงเพียงเพราะไปใส่ใจกับคำพูดดูถูก
ของคนที่ด้อยสติปัญญา คุณก็สมควรที่จะถูกดูถูกแล้วล่ะครับ
5. คนที่ฉลาด และเก่งจริงๆ ใครที่ไหน เขานั่งเฉยๆ ให้คนอื่นเขาเยาะเย้ยคนที่เก่ง
และมีความสามารถจริงเขาต้อง ลุกขึ้นมาลงมือทำ ลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ตนเองคิดดีแล้วว่ามันถูกต้องอย่างสุดความสามารถ
อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พร้อมที่จะทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดในการพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง แบบไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ
ไม่มีรถก็วิ่ง วิ่งไม่ได้ก็เดิน เดินไม่ได้ก็คลาน ผมรู้ครับว่ามันเหนื่อยและบางครั้งเวลาที่เราเปรียบเทียบกับคนด้อยสติปัญญา
บางคนที่มีเงินมากกว่าเรารู้จักคนมากกว่าเรา อยู่ในสถานะที่ได้เปรียบเราทุกอย่างเราอาจจะท้อบ้าง
รู้สึกน้อยใจในวาสนาของตัวเองบ้าง ว่าทำไมเราถึงไม่มีเงินไม่มีใครมาช่วยมากมายแบบคนๆ นั้น คือคุณท้อได้ครับ
น้อยใจได้ครับแต่ต้องลืมมันให้เร็วที่สุดให้ได้ แล้วมาลุยสู้ต่อถ้าคุณเป็นคนที่คิดน้อยใจแล้วท้อแท้ยอมแพ้
เลิกล้มความตั้งใจ นั่นก็แสดงว่าคุณเป็นคนที่สมควรให้คนอื่นดูถูกจริงๆ นั่นแหละครับคนที่จะได้รับการยอมรับว่าเก่งจริง
จะต้องเป็นคนที่เก่งที่จะเอาชนะอุปสรรคเก่งที่จะอดทนต่อสู้ไม่ยอมแพ้
เก่งที่จะเผชิญหน้ากับข้อจำกัดทุกอย่างครับ ไม่มีอะไรที่จะหยุดให้เขาไม่ลงมือทำได้ครับ
ผิวเผินมันอาจจะสะท้อนในชั่นแรกว่า คนที่ด้อยสติปัญญามักจะมีนิสัยชอบดูถูกคนอื่น
ซึ่งมันก็จริงอยู่บ้างครับ แต่ผมอยากให้เรามองให้ลึกไปอีกขั้นหนึ่งว่าคนที่ใส่ใจกับคำดูถูก
และเสียงหัวเราะเยาะของคนอื่น จนไม่ยอมลงมือทำอะไร
ต่อให้คนๆ นั้นมีสติปัญญา มันก็ไม่มีความหมายครับ และก็สมควรแล้วที่จะถูกคนห่วยๆ ดูถูก ครับ