เมื่อจังหวะชีวิตไม่เท่ากัน ไม่เป็นไรถ้ายังไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็เลือกที่จะเติบโตอย่างมีความสุขต่อไปได้
1. พัฒนาตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอ
เพราะโลกหมุนไวขึ้นทุกวัน เทคโนโลยีเป็นตัวการสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกนี้ไปเยอะมาก
และเราก็ไม่สามารถคาดเดาอนาคตได้เลยว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป วันนี้ดี พรุ่งนี้อาจจะไม่ดีก็ได้
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราทำได้ นั่นก็คือเตรียมตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอ หมั่นหาความรู้ใหม่ๆ และอัพสกิลที่มีประโยชน์ให้กับตัวเองเสมอ
เช่น สมมติเราไปสมัครงานในบริษัทต่างชาติ ด้านการตลาด ในระหว่างที่รอเรียกสัมภาษณ์
เราก็หาความรู้เกี่ยวกับด้านการตลาดกักตุนไว้เยอะๆ และฝึกภาษาเอาไว้ด้วย
โดยเฉพาะภาษาอังกฤษที่นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน ไม่ว่าบริษัทชาติไหนก็ต้องใช้ทั้งนั้น
วันใดที่บริษัทโทรมาเรียกไปสัมภาษณ์เราจะได้มีความรู้พร้อมที่จะไปตอบคำถาม
ทำให้พวกเขาเห็นถึงความสามารถและความตั้งใจของเรา นั่นแหละจังหวะชีวิต ที่คุณกำลังตามหามาตลอดอาจจะมาถึงแล้วก็ได้
2. อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
ในปัจจุบันเรามีโอกาสสูงมากที่จะนำชีวิตตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
เพราะโซเชียลมีเดียจะทำเราเห็นชีวิตของคนอื่นได้ง่ายขึ้น แล้วทุกคนก็มักจะเลือกชีวิตส่วนที่ดี
ส่วนที่คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วมาลงบนโซเชียลมีเดีย น้อยคนนักที่จะเอาข้อด้อยและความล้มเหลวของตัวเองมาลง
แล้วยิ่งเราเห็นภาพแบบนั้นแล้ว สิ่งหนึ่งเลยที่จะทำให้ตัวเราเองไม่มีความสุขนั่นก็คือ
การนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น’ เราจะคิดอยู่เสมอว่าทำไมชีวิตเขาดีจัง แล้วทำไมเราถึงยังไม่เป็นแบบเขาบ้าง
อย่างที่กล่าวไปว่าจังหวะชีวิตของคนเรามันไม่เท่ากัน คนที่ประสบความสำเร็จแล้วนั่น
หมายความว่าจังหวะของเขามาถึงแล้ว แต่จังหวะของเราอาจจะยังมาไม่ถึง
เพราะฉะนั้นควรปล่อยวาง ยินดีกับเขา แอบดูชื่นชมเขาอยู่ห่างๆ
และนำเขาไปเป็นแรงบันดาลใจหรือแบบอย่างดีกว่าที่จะนำพวกเขามาเปรียบเทียบกับตัวเอง
3. เปิดใจลองทำสิ่งใหม่ๆ ดู
การเปิดใจลองทำสิ่งใหม่ๆ นี่แหละ อาจจะทำให้เราเข้าใกล้จังหวะชีวิต
ที่เรารอคอยมากขึ้นก็ได้นะ เพราะมันจะทำให้เราไปเจอมุมมองและความสามารถใหม่ๆ
ที่ไม่เคยพบเจอ จากที่เคยคิดว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ สิ่งที่เป็นอยู่มันโอเคอยู่แล้ว แต่พอได้ลองทำอะไรใหม่ๆ เราอาจจะพบว่า
4. อย่าทิ้งโอกาสที่เข้ามา
บางครั้งโอกาสที่เข้ามา มันอาจจะเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตนี้ก็ได้ที่เราจะได้รับมัน
และมันอาจจะเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่สามารถพลิกชีวิตเราไปทั้งชีวิตเลยก็ได้
และอย่าคิดว่าโอกาสนั้นมันไม่เหมาะสำหรับเรา บางครั้งเราอาจจะมีความคิดนี้ผุดขึ้นมา
ถ้าคนอื่นได้รับมันไป เขาอาจจะทำได้ดีกว่าเราก็ได้ ปล่อยให้เขาไปเถอะ อย่าคิดแบบนั้นเลย
ในเมื่อโอกาสมันมากองอยู่ตรงหน้าเราแล้ว คนอื่นเห็นแววเราแล้วว่าเราทำได้นะ
เราสมควรที่จะได้รับมันมาครอบครอง ทำไมเราไม่ลองคว้ามันเอาไว้ล่ะ?
เช่น ถ้าเราเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนไปแข่งทักษะทางภาษาที่ต่างประเทศ
แต่ก่อนอื่นต้องแข่งกับเพื่อนอีกคนนึง ซึ่งเรียนเก่งได้ที่ 1 ของห้องมาตลอด
เราก็คงเกิดคำถามขึ้นมาในใจเราว่า ทำไมคุณครูถึงมาเลือกเรา ทำไมไม่เลือกคนนั้นไปเลย
เขาอาจจะทำได้ดีกว่าเราเองจริงๆ ’ หรือคิดว่าอยากสละสิทธิ์ครั้งนั้นไปเลย
แต่เมื่อแข่งคัดเลือกไปแล้ว ผลปรากฎออกมาว่าเราได้รับเลือกเป็นตัวแทนไปแข่งขันในครั้งนั้น
ไม่ใช่เพื่อนคนนั้น ลองนึกดูว่า ถ้าเราเลือกที่จะสละสิทธิ์ตั้งแต่ที่ยังไม่ได้ลองดู เราก็อาจจะเสียโอกาสดีๆ แบบนี้ไปเลยก็ได้
และถึงแม้ว่าโอกาสที่เราได้รับมา พอเราลองคว้ามันไว้แล้ว แต่มันก็ไม่ได้เป็นเหมือนที่เราคิดเอาไว้ตั้งแต่แรก
อยากให้ลองเปลี่ยนวิธีคิดเป็นอย่างน้อยเราก็ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากมัน
เอาทักษะที่ได้รับมาพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น ให้ดีขึ้น เป็นแนวทางต่อยอดที่จะทำสิ่งอื่นๆ ที่ต่างจากเดิมในอนาคต
เพราะวันเวลามันไม่เคยคอยใคร ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านออกไปเลย
เราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปตรงที่เก่า แม้ว่าเราอยากจะทำแค่ไหนก็ทำไม่ได้
สุดท้ายนี้อยากฝากไว้ว่า เราไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุด ดีที่สุด เพอร์เฟคที่สุดเหมือนคนอื่น
แต่จงเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้นในทุกๆ วัน และมั่นใจในเส้นทางที่ตัวเองเลือกเดิน
แล้วจังหวะชีวิตที่คุณตามหามาตลอด มันอาจจะเข้ามาในตอนที่คุณไม่รู้ตัวก็ได้ ใครจะรู้
ใจดีกับตัวเองให้มากๆ แล้วมาเริ่มต้นพัฒนาตัวเองให้ไปพบกับสิ่งใหม่ๆ กันนะคะ
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน ที่อยากเติบโตขึ้นไปเป็นคนที่ดีกว่าเดิม