ทำตัวเป็นม้าพันลี้ (นิทานเรื่องนี้สอนใจได้ดีมาก)

ทำตัวเป็นม้าพันลี้ (นิทานเรื่องนี้สอนใจได้ดีมาก)

ในดินแดนแสนห่างไกล มีม้าหนุ่มตัวหนึ่ง ที่มีร่างกายกำยำ แข็งแรง ดูสง่างาม

ความสามารถของม้าตัวนี้ สามารถวิ่งได้ระยะทางถึงพันลี้

โดยที่ไม่ต้องหยุดพัก และไม่มีเหนื่อยเลย

จึงทำให้เป็นที่หมายปองของหลายๆ คน ที่อยากจะเป็นเจ้าของมัน

แต่ม้าตัวนี้ก็ไม่ยอมให้ใครขี่เลย เพราะมันกำลังรอผู้ที่เพียบพร้อม เหมาะที่จะขี่มันอยู่

ในช่วงเวลาที่ม้ากำลังมองหาผู้ที่มันคิดว่าเหมาะสมจะขี่มันได้นั้น

ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาหาม้าตัวนี้เพื่อจะขี่มัน

พ่อค้า ได้เข้ามาหาม้า และถามมันว่า..

“เจ้าอยากจะไปกับข้าหรือไม่…ข้ามีน้ำมีอาหารให้กินไม่ขาดนะ”

ม้าพันลี้ได้แต่ส่ายหัว และตอบกลับไปว่า..

“ม้าดีๆ แบบข้า ไม่ไปกับพ่อค้า ที่ใช้ข้าไปส่งของเฉยๆ หรอกนะ”

ทหาร ได้เข้ามาหาม้า และถามมันว่า..

“เจ้าอยากจะไปกับข้าหรือไม่…เจ้าจะได้เป็นม้าคู่กายทหารเลยนะ”

ม้าพันลี้ได้แต่ส่ายหัว และตอบกลับไปว่า…

“ม้าดีๆ แบบข้า ทำไมข้อต้องไปรับใช้ทหารธรรมดาแบบเจ้าด้วย”

นายพราน ได้เข้ามาหาม้า และถามมันว่า.. “เจ้าอยากจะไปกับข้าหรือไม่..”

ม้าพันลี้ได้แต่ส่ายหัว และตอบกลับไปว่า..

“ม้าดีๆ แบบข้า ทำไมต้องไปรับใช้นายพรานแบบเจ้าด้วย”

ไม่ว่าใครจะเข้ามาหา ชักชวนยังไง ม้าพันลี้ก็ไม่ตอบตกลงไปกับใครเลย

เวลาก็ผ่านล่วงเลยไปหลายปี แต่ม้าพันลี้ก็ยังหาเจ้าของที่ถูกใจมันไม่ได้สักที

จนเมื่อข่าวความเก่ง และความสามารถของม้าพันลี้

เข้าไปถึงในวัง และไปถึงหูของพระราชา

พระราชาจึงได้ออกรับสั่งให้ขุนนางรีบไปตามหาม้าพันลี้ตัวนี้

เพื่อมาเป็นพาหนะคู่กายของพระราชา

ขุนนางจึงออกเดินทาง และได้ตามหาม้าพันลี้ตัวนี้จนพบ

และได้แนะนำตัวเองกับม้าพันลี้ เมื่อม้าพันลี้รู้ว่า คนที่มาหาตน เป็นถึงขุนนางชั้นสูง

และจะได้ไปเป็นพาหนะคู่กายของพระราชา ก็ดีใจมาก

และตัดสินใจที่จะไปกับขุนนางในทันที เพราะม้าพันลี้ได้เจอกับคนที่เหมาะสมจะขี่มันแล้ว

แต่ก่อนที่จะได้กลับไปวัง ขุนนางจึงได้ถามม้าพันลี้ว่า “เจ้าเชี่ยวชาญเส้นทางแถบนี้มากแค่ไหน”

ม้าพันลี้ตอบว่า “ไม่เลย เพราะข้าไม่เคยเดินทางไปไหนนานมากแล้ว”

ขุนนางจึงถามต่อว่า “เจ้าเคยมีประสบการณ์ ในการสู้สมรภูมิรบบ้างไหม”

ม้าพันลี้ตอบว่า “ไม่เลย เพราะข้าไม่ยอมรับใช้ทหารธรรมดาๆ หรอก”

ขุนนางจึงถามต่อว่า “งั้น เจ้าเคยเข้าป่าไหม บางครั้งพระราชาก็ชอบไป ล่ า สั ต ว์ นะ”

ม้าพันลี้ตอบว่า “ไม่เลย..ข้าไม่ใช่ม้าธรรมดา ข้าไม่ยอมไปให้นายพรานใช้งานหรอก”

ขุนนางมองม้าพันลี้ด้วยความสงสัย ว่าทำไมม้าตัวนี้ถึงมีชื่อเสียงไปไกลถึงในวัง ทั้งๆ ที่ไม่มีความสามารถอะไรเลย

ขุนนาง เลยพูดขึ้นว่า “เจ้าไม่เคยทำอะไรมาเลย แล้วข้าจะเอาเจ้าไปใช้ประโยชน์อะไรได้อีก”

ม้าพันลี้บอกว่า “ข้าวิ่งเวลากลางวันได้ วันละ พันลี้ กลางคืน แปดร้อยลี้”

ขุนนางจึงเปรยไปว่า “ถ้างั้น เจ้าก็ลองวิ่งให้ข้าดูหน่อย ถ้าเจ้าวิ่งได้เร็วสมคำล่ำลือ ข้าจะพาเจ้ากลับวัง”

ม้าพันลี้จึงเริ่มออกวิ่งด้วยความมั่นใจ และดีใจที่จะได้โชว์ความสามารถของตัวเองให้คนอื่นได้ดูสักที

แต่เมื่อเริ่มออกวิ่งไปได้ไม่นาน ม้าพันลี้ก็เริ่มเหนื่อย หมดแรงซะแล้ว

ขุนนาง จึงพูดขึ้นว่า “เมื่อก่อนตอนหนุ่มเจ้าคงจะเก่งมากจริงๆ”

ตามที่คนล่ำลือกันไว้ แต่ตอนนี้เจ้าแก่แล้ว ไม่ไหวแล้ว

ถ้าข้าเอาเจ้าไป คงใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้อีกแล้ว ข้าว่าเจ้าคงไม่ใช่ม้าที่ข้าตามมาหาแล้วล่ะ”

เมื่อพูดจบขุนนางก็ขึ้นควบม้าตัวเดิม แล้วจากไปทันที ทิ้งให้ม้าพันลี้ยืนหอบหายใจไม่ทันหาย

ข้อคิดของเรื่องนี้ สอนให้เรารู้ว่าอย่าหลงทะนงตน อย่าคิดว่าตนเก่งอยู่ค้ำฟ้าตลอด

คนเรามีนำหน้า ก็ต้องมีถอยหลัง หากเราคิดว่าตัวเองเก่ง และหยุดที่จะพัฒนา หรือหาความรู้มาเพิ่ม

เราก็จะกลายเป็นคนที่ถอยหลัง และคนอื่นจะแซงหน้าเราไปทีละก้าว มีความมั่นใจเป็นเรื่องที่ดี

แต่อย่าถือทะนงตน จนเกินไป เมื่อใดที่คิดว่าตนเองสุดยอด…จนไม่เห็นใครอยู่ในสายตา

เมื่อนั้นความหายนะจะมาเยือน เพราะเราจะหยุดพัฒนาตนเอง จนมีแต่ทรงกับทรุด เท่านั้นเอง