บ้านช่องรก เป็นนรกชนิดหนึ่ง ความรกรุงรังของบ้าน ไม่ใช่ความบังเอิญ
แต่ไหลมาจากใจที่ดูดาย มักง่าย ขี้เกียจจัดแจงสะสาง
บ้านเรือนร้อนเป็นไฟ จากโทสะของคนอยู่อาศัย เป็นนรกขุมหนึ่ง
เสียงทะเลาะด่าทอบ๊งเบ๊ง ไม่ได้ดังขึ้นเองลอย ๆ จากอากาศ
แต่ไหลมาจากใจร้อน ๆ ขาดเมตตาต่อกัน
บ้านช่องเป็นระเบียบ เทียบได้กับวิมานหลังหนึ่ง ความเป็นระเบียบเรียบร้อยสบายตา
ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่ไหลมาจากใจที่มีวินัย ไม่ขี้เกียจเก็บกวาดเช็ดถู
บ้านเรือนเย็นเหมือนน้ำ จากการรินเมตตาปรานีให้กัน เป็นสวรรค์ชั้นหนึ่ง
ซึ่งรัศมีสว่างแห่งความการุณย์ หาใช่สายลมแสงแดดที่ฉายเอง
แต่ต้องแผ่ผายมาจากใจที่สบายจริง จากการรู้จักเห็นแก่ผู้อื่น
เห็นแก่ใจที่สบายของคนร่วมบ้าน มากกว่าใจที่มักง่ายของตัวเอง
ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน อะไร ๆ ไหลมาจากใจ
บ้านไหนมีแต่ใจเย็น ๆ ก็เห็นด้วยตาเปล่าว่าเหมือนสวรรค์
บ้านไหนมีแต่ใจร้อน ๆ ก็ร้อนผ่าวราวนรกตั้งแต่นึกถึง
ส่วนบ้านไหนมีทั้งใจร้อน และใจเย็นระคนกัน ก็ผันผวนปรวนแปร เอาแน่ไม่ได้
วันไหนฝ่ายเย็นชนะ ก็เหมือนวิมานดิน วันไหนฝ่ายร้อนได้ชัย ก็กลายเป็นถิ่นปีศาจ
เมื่อถามตัวเองว่า นึกถึงบ้านแล้วนึกถึงอะไร
หากนึกถึงสวรรค์ ก็ควรนึกยินดี มีแก่ใจรักษาไว้
แต่หากบอกตัวเองว่า นึกถึงบ้านแล้วนึกถึงนรก
ก็ควรตกลงกับตัวเองให้เด็ดขาดว่า ความร้อนจะเริ่มจากใจใคร
ไม่เป็นไร ขอให้จบลงที่ใจเย็น ๆ ของเราเอง
ทำไว้ในใจว่า เราเย็นได้คนหนึ่ง ก็เหมือนได้น้ำขึ้นมาบ่อหนึ่ง
ในนรกแห่งความแห้งแล้งนี้ หรือกระทั่งได้แสงฉายขึ้นมา ที่ปลายอุโมงค์นรกบ้างแล้ว
ขอบคุณแหล่งที่มา : dungtrin