“วิชาลำบาก” ที่หลายคนไม่อยากเรียน
เป็นโชคดีที่ผมได้เรียน “วิชาลำบาก” จากพ่อตั้งแต่เล็ก พ่อเป็นคนที่ไม่เหมือนใคร
พ่อคนอื่นถ้าตัวลำบากก็ไม่อยากให้ลูกลำบาก จะพยายามทำทุกอย่างให้ลูกสบาย
แต่พ่อผมนี่ตรงกันข้าม พ่อลำบากอย่างไรกลับเลี้ยงลูกให้ลำบากยิ่งกว่า พ่อมีลูก 5 คน ผมเป็นคนโต
พ่ออยากเลี้ยงให้ผมเป็นคนแกร่ง เพื่อให้เป็นที่พึ่งแก่น้องๆ จึงฝากผมเข้าโรงเรียนประจำตั้งแต่อายุ 7 ขวบ
ขณะนั้นโรงเรียนประจำใช้ระบบพี่ปกครองน้องนักเรียนโตๆ มักรังแกนักเรียนรุ่นเล็กกว่าตามใจชอบ
นักเรียนรุ่นเล็กสุดอย่างผมจึงต้องอดๆ อยากๆ แม้จะร้องเรียนครูก็ไม่ได้ผล
หนึ่งปีถัดมา พ่อนำผมไปฝากไว้กับครูของพ่อคนหนึ่ง ซึ่งทำให้ผมต้องเผชิญชีวิตที่ลำบากกว่าเดิม
เพราะต้องทำงานหนักเพื่อแลกกับที่พักอาศัย ตอนเช้าต้องตื่นแต่มืดเพื่อตักน้ำใส่โอ่งขนาดใหญ่ให้เต็มสามโอ่ง
จากนั้นยังต้องกวาดถูบ้านไม้สองชั้น โดยไม่เปิดไฟ เสร็จงานแล้วจึงอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปโรงเรียน
ที่โรงเรียนบางวันผมต้องคุ้ยหาเศษอาหารในถังขยะ แม้กระทั่งเศษอาหารที่ติดใบตองก็เคยเก็บมากินเพื่อบรรเทาความหิว
แม้ว่าจะมีชีวิตที่ลำบากยากแค้น ผมก็ไม่เคยรู้สึกโกรธเคือง กลับยิ่งขอบคุณท่านเหล่านั้น
โดยเฉพาะพ่อ เพราะพ่อได้ให้เคล็ดลับในการดำเนินชีวิต ที่สำคัญนั่นคือ คนเราต้องมีความสุขในความทุกข์ของตนเองให้ได้
หากเราสามารถทำได้เช่นนี้ แม้ว่าภายภาคหน้าจะต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคมากมายเพียงใด
เราก็จะรักษาความดีงามที่อยู่ในรากฐานเดิมของตัวเราเองไว้ได้
ความยากลำบากของชีวิตไม่ใช่สิ่งเลวร้าย นับจากวันที่เธอยิ้มรับความยากลำบากของชีวิตนั้นได้ “ความสุข” จะอยู่กับเธอทุกวี่วัน